นิวส์ คอนเน็คท์ - EXIM BANK หวังกิจกรรมการทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้ามากขึ้น ช่วยหนุนผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง พร้อมลดภาระการตั้งสำรองหนี้ หลังครึ่งปีแรกมีขาดทุนสุทธิ 1,416 ล้านบาท หลังแบกค่าใช้จ่ายตั้งสำรองตามเกณฑ์ TFRS9 และสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตราว 5,487 ล้านบาท พร้อมเปิด 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ  

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังคาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวจากครึ่งปีแรกที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1,416 ล้านบาท แม้ในช่วงครึ่งปีแรกธนาคารจะมีกำไรก่อนหักสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(Experted Credit Loss) อยู่ราว 1,163 ล้านบาท แต่เนื่องจากธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองตามมาตรการฐานบัญชี TFRS9 และการกันสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตจำนวน 5,487 ล้านบาท จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดผลขาดทุนดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารประเมินว่าการตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเดินหน้าได้มากขึ้น รวมทั้งธนาคารได้มีการติดตามให้ความช่วยเหลือ และควบคุมคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะช่วยให้ความเสี่ยงเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยตัวเลข NPL ของธนาคาร ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 อยู่ที่ระดับ 6.37% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 62 ที่อยู่ในระดับ 4.60%

สำหรับปัจจุบันธนาคารมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง 126,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 35,655 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อการลงทุน 90,836 ล้านบาท ในส่วนของการสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวม 92,891 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้าง 52,915 ล้านบาท เป็นสินเชื่อคงค้างให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกและลงทุนในกลุ่ม CLMV 33,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.38% หรือ 2,854 ล้านบาท  

ทั้งนี้ ธนาคารได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมให้ปรับตัวรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและต่างประเทศได้แก่ บริการประกันการส่งออกสำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อม(EXIM for Small Biz) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี, สินเชื่อเอ็กซิมเสริมทุนธุรกิจขนาดกลาง(EXIM Amazing M Credit) เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง วงเงินสูงสุด 80 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อเอ็กซิมเสริมไทยเก่ง(EXIM Star Credit) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ส่งออก SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร, กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และกลุ่มเครื่องสำอาง

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังประเมินว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตัวเลขจีดีพีของไทยในปี 63 จะติดลบราว 6-8% ซึ่งยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ  

ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 63 ประเมินว่าจะติดลบ 8-10% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 5-8% โดยภาคการส่งออกขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระเงินค่าสินค้าของผู้ซื้อ และความผันผวนจากค่าเงิน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 63 พบว่าประเทศจีนยังคงเป็นตลาดที่สำคัญ และมีการเติบโตสูงถึง 4.7% และเฉาพะในเดือนพ.ค.63 มีการเติบโตแล้วราว 15.3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าประเภทอัญมณี และผลไม้สดแช่เย็น

>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews