Phones





TMB ชี้ยอดเงินฝากระบบแบงก์พุ่ง6แสนล้าน

2020-07-31 17:40:58 550



นิวส์ คอนเน็คท์ – TMB เผยตัวเลขเงินฝากของระบบแบงก์พาณิชย์ช่วง 5 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาท หลังลูกค้ากังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ขณะที่ประเมินกนง.คงอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตลอดปีนี้ พร้อมแนะลูกค้ามองตัวเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และกองทุนรวม เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนมากขึ้น


เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB Analytics เผยยอดเงินฝากบุคคลธรรมดาธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 63 เนื่องจากในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กดดันเศรษฐกิจทั่วโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งเงินฝากมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเร่ง โดยเฉพาะเงินฝากบุคคลธรรมดาเพิ่มจาก 7.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 62 เป็น 8.1 ล้านล้านบาท ณ พ.ค.63 หรือเพิ่มขึ้นถึง 8.5% เมื่อเทียบกับช่วงปี 60-62 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 % ต่อปี



สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ในช่วงที่เหลือของปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารขนาดใหญ่ลดลงเหลือ 0.25% โดยยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต หากมีปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดไม่ว่าจะมีสาเหตุจากการระบาดของโควิดรอบสอง หรือเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาด ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มปรับลดลงได้อีก แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ 0.5% ก็ตาม จากแรงกดดันสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในอัตราเร่ง ขณะที่ปริมาณสินเชื่อชะลอลง


ทั้งนี้ หากผู้ออมให้น้ำหนักเรื่องสภาพคล่องและรับความเสี่ยงได้ในระดับ การเลือกออมโดยฝากเงินกับธนาคารก็ยังตอบโจทย์ผู้ออมได้ดี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ณ มิ.ย.63 เฉลี่ยที่ 0.25% เงินฝากประจำ 1 ปี เฉลี่ยที่ 0.48% ขณะที่บางธนาคารยังมีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษดอกเบี้ยสูง เช่น อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไปถึง 5 เท่า คืออยู่ระดับราว 1.3% ขณะที่ฐานผู้ฝากเงินรายย่อยทั้งหมด 95.8 ล้านบัญชี เป็นบัญชีออมทรัพย์ 86.1 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 90% หากผู้ออมโยกเงินฝากจากบัญชีออมทรัพย์ ไปยังบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยราว 1.3% พบว่ารายได้ดอกเบี้ยของผู้ฝากเงินออมทรัพย์ทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นจาก 1.27 หมื่นล้านบาท เป็น 6.62 หมื่นล้านบาทภายใน 1 ปี



อย่างไรก็ตาม ผู้ออมที่อยากจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ของภาครัฐที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ที่ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกันเงินฝาก โดยพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี อยู่ที่ 0.5% และพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี อยู่ที่ 0.87% ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ออมที่เน้นสภาพคล่องสูงและระดับความเสี่ยงต่ำที่ใกล้เคียงกับกลุ่มเงินฝาก แต่ในส่วนของผู้ออมที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และสามารถรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งเป็นนักลงทุนรายย่อยไม่สามารถลงทุนได้เองหรือขาดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ผู้ออมอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท


โดยสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สิน ณ มิ.ย.63 หลักๆ เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ 39% กองทุนรวมตราสารทุนอยู่ที่ 29% และกองทุนรวมตลาดเงิน 20% เมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนกองทุนรวมในระยะ 6 เดือนและ 1 ปีที่ผ่านมา พบว่ากองทุนรวมตลาดเงินให้อัตราผลตอบแทนที่ 0.31-0.94% เช่นเดียวกับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะกลางมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.5-0.74% ซึ่งต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษที่ 1.3%


สำหรับกองทุนรวมที่ให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ การพิจารณาลงทุนในสถานการณ์ที่ยังมีความเสี่ยงจากทิศทางการฟื้นตัวที่เปราะบางของทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ถือเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผู้ลงทุนอย่างมาก รวมทั้ง การลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ แม้ว่ามีแนวโน้มที่จะให้อัตราผลตอบแทนสูงต่อเนื่องในฐานะที่เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง (Safe-Haven) ในสายตานักลงทุน แต่ก็มีความผันผวนสูง



ดังนั้น ในภาวะที่รายได้ผู้ออมรายย่อยถูกสั่นคลอนจากการทรุดตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบัน การพิจารณาฝากเงินโดยเลือกบัญชีที่อัตราดอกเบี้ยสูงภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ออมยอมรับได้ รวมทั้งพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ ที่อาจให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป็นแนวทางที่ช่วยพยุงรายได้ตอบโจทย์ของผู้ออมหรือผู้ลงทุนในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews