Phones





TMB เริงร่าเอสแอนด์พีปรับเพิ่มความน่าเชื่อถือ

2020-08-25 15:22:45 267




นิวส์ คอนเน็คท์ – TMB ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นจากเอสแอนด์พี หนุนโดยแผนรวมกิจการที่ช่วยเสริมความสำคัญของ TMB และธนชาตต่อระบบการเงิน รวมทั้งแผนรวมกิจการที่คืบหน้าได้ตามเป้าหมาย ด้านธนาคารมั่นใจสถานะทางการเงินแข็งแกร่งพร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ


เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า ธนาคาร และบริษัทย่อย ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings หรือ เอสแอนด์พี โดยเมื่อวันที่ 24 ส.ค.63 เอสแอนด์พีได้ประกาศปรับอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของ TMB เพิ่มขึ้น 1 อันดับจาก BBB- เป็น BBB โดยระบุว่าการรวมกิจการระหว่างทีเอ็มบีและธนชาต ส่งผลให้กลุ่มธนาคารมี Systemic Importance หรือมีความสำคัญต่อระบบการเงินในระดับสูง อีกทั้งยังสามารถดำเนินการตามแผนรวมกิจการได้ตามเป้าหมาย ทำให้คาดว่าการรวมกิจการจะเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนก.ค.64 ตามแผนที่วางไว้


ทั้งนี้ ภายหลังการประกาศแผนรวมกิจการกับธนาคารธนชาต TMB ก็ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกจาก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ ซึ่งประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของธนาคารขึ้น 1 อันดับจาก Baa2 เป็น Baa1 ในปีที่แล้ว และครั้งล่าสุดจากเอสแอนด์พี ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพการรวมกิจการ ความสำคัญของธนาคารภายหลังการรวมกิจการต่อระบบการเงิน และสถานะทางการเงินของธนาคารในด้านต่างๆ


อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งTMB และธนชาตยังคงเดินหน้าร่วมกันตามแผนรวมกิจการได้เป็นอย่างดี เพื่อให้การรวมธนาคารเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนก.ค.ปีหน้า ขณะที่ด้านการดำเนินงานก็ทำได้ตามแผนเช่นกัน โดยเฉพาะใน 3 เรื่องหลักซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธนาคาร ทั้งการคงสภาพคล่องในระดับสูงด้วยการเติบโตเงินฝาก การเพิ่มคุณภาพงบดุลด้วยการลดยอดหนี้เสีย และการคงเงินกองทุนในระดับสูงมาโดยตลอด จึงมั่นใจว่าธนาคารมีศักยภาพในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19


โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/63 TMB และธนชาต สามารถเติบโตฐานเงินฝากได้ 3.2% และลดอัตราส่วนหนี้เสียลงมาอยู่ที่ 2.34% ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่งและสูงเป็นลำดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมธนาคารไทย โดยอัตราส่วน CAR และ Tier I อยู่ที่ 18.6% และ 14.6% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ


>>>สามารถอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ทาง http://www.newsconnext.com
หรือติดตามผ่านช่อง Line@ ได้ที่ News Connext
ช่องทาง Fanpage Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/connextnews