Phones





KBANK ทุ่มงบ 2.2 หมื่นล. ยกระดับเทคโนโลยี เร่งเครื่องธนาคารดิจิทัล

2023-03-22 16:36:57 77



 
นิวส์ คอนเน็คท์ – KBANK มุ่งมั่นเสริมแกร่งสถานะผู้นำธนาคารดิจิทัลตัวเลือกอันดับหนึ่งของไทย โชว์ยอดผู้ใช้ K PLUS เพิ่มขึ้น 2 ล้านราย การทำธุรกรรมผ่าน K PLUS โตก้าวกระโดด 53% ยอดเงินธุรกรรมผ่าน K PLUS แตะ 10 ล้านล้านบาท โดยยอดใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคารเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด หลังประกาศแผนผสานความเป็น “ชาเลนเจอร์แบงก์”
 
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากกว่า 2 ล้านคน สมัครใช้งาน K PLUS ของธนาคาร โดยในจำนวนนี้ มีมากกว่า 1 ล้านคนเป็นผู้ที่เพิ่งใช้บริการธนาคารกสิกรไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งความนิยมแพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคารกสิกรไทยที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลอย่างเต็มภาคภูมิ โดยปัจจุบันธุรกรรมของธนาคารกสิกรไทย เป็นธุรกรรมที่ทำผ่านระบบออนไลน์ถึง 98% 
 
ทั้งนี้ ผลจากการเติบโตของธุรกรรมออนไลน์ดังกล่าว ทำให้ธนาคารกสิกรไทยสร้างสถิติใหม่ โดยเป็นครั้งแรกที่ยอดเงินโอนผ่าน K PLUS มากกว่ายอดเงินโอนผ่านช่องทางอื่นๆ ทั้งหมดของธนาคารรวมกัน ทั้งการทำธุรกรรมที่สาขาธนาคาร เครื่องทำรายการอิเล็กทรอนิกส์ และตัวแทนธนาคาร ซึ่งด้วยเทคโนโลยีของธนาคารทำให้คนจำนวนมากขึ้นได้รับประโยชน์จากบริการธนาคาร ในแต่ละชั่วโมงมีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 1 ล้านรายการต่อชั่วโมง รวมทั้งยอดเงินที่เป็นการทำธุรกรรมผ่าน K PLUS ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมียอดเงินสูงเกือบ 10 ล้านล้านบาทในปี 2565 ซึ่งการเติบโตดังกล่าวช่วย ตอกย้ำความเป็นผู้นำของธนาคารกสิกรไทยในฐานะธนาคารดิจิทัลอันดับหนึ่งของไทย
 
“ความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้เรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ตามไปด้วย ที่จะต้องก้าวล้ำไปข้างหน้ากับเทคโนโลยีต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการธนาคารได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยระบบที่มีเสถียรภาพสูง นั่นเพราะวิสัยทัศน์ของเรามองไปไกลเกินกว่าขอบเขตประเทศไทย โดยเป้าหมายของเราอยู่ที่การเป็นผู้นำการให้บริการธนาคารดิจิทัลที่ดีที่สุดระดับภูมิภาค” นางสาวขัตติยา กล่าว
 
นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการใช้บริการ K PLUS โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการป้องกันและตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติควบคู่ไปกับการใช้งานที่สะดวกและเหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร ขณะที่แพลตฟอร์มออนไลน์ของธนาคารกสิกรไทยกำลังช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการมอบต้นทุนทางด้านการเงินที่ต่ำกว่า และเป็นธนาคารเดียวในประเทศไทยที่ไม่ถูกหักค่าธรรมเนียมการโอนจากธนาคารตัวกลาง สำหรับการโอนเงินจากประเทศไทย ไปยัง 32 ประเทศคู่ค้า
 
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2565 การจับมือกับ LINE เพื่อให้บริการธนาคารผ่านทางโซเชียลมีเดีย มีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีผู้ใช้บริการรายใหม่ เพิ่มขึ้นจำนวนมากกว่า 1,400,000 ราย และ ณ สิ้นปี 2565 มียอดสินเชื่อปล่อยกู้ผ่าน LINE BK กว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนมากเป็นการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าที่ไม่มีรายได้ประจำหรือไม่มีเงินเดือนประจำ เช่น คนทำงานอิสระและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยอื่นๆ
 
“เนื่องจากคนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้มักจะไม่มีรายได้ประจำหรือไม่มีสลิปเงินเดือน จึงทำให้พวกเขามีความยากลำบากในการได้รับอนุมัติเงินกู้จากธนาคาร เพื่อที่จะเอามาช่วยเหลือตัวเองในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่มาเป็นครั้งเป็นคราว และบ่อยครั้งก็ทำให้เขาต้องหันไปหาเงินกู้นอกระบบ” นางสาวขัตติยา กล่าว
 
ทั้งนี้ LINE BK ในฐานะผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการธนาคารผ่านโซเชียลมีเดียเพียงรายเดียวของไทย มีบทบาทสำคัญในการทำให้เป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยในการผสานความเป็นชาเลนเจอร์แบงก์เข้ามาในองค์กรประสบความสำเร็จ เนื่องจาก LINE BK ช่วยให้คนไทยที่ยังเข้าไม่ถึงบริการธนาคารหรือเข้าถึงได้ยาก สามารถเข้าถึงบริการธนาคารได้ แม้จะเป็นผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็สามารถสมัครขอสินเชื่อผ่าน LINE BK ได้ โดยจะทราบผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อภายใน 24 ชั่วโมง บริการนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ให้บริการอิสระ และเจ้าของแผงค้าขายขนาดเล็ก อีกทั้งยังเป็นก้าวแรกที่นำคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบธนาคาร ทำให้มีประวัติเครดิต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยับขยายกิจการในอนาคตของพวกเขาได้ด้วย
 
โดย LINE BK ใช้ระบบเอไอในการวิเคราะห์ข้อมูล และข้อมูลสมัยใหม่อื่นๆ เช่น ข้อมูลพฤติกรรมจากบริการที่เกี่ยวข้องของ LINE ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้สมัครขอสินเชื่อก่อน เพื่อประเมินความสามารถและความตั้งใจในการชำระคืนเงินกู้ของผู้กู้ ขณะที่เมื่อเดือนก.ค. 2565 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ประกาศเดินหน้าโครงการเชิงกลยุทธ์ที่เรียกว่าการผสานความเป็น “ชาเลนเจอร์แบงก์” เข้ามาในองค์กร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการเข้าถึงเงินกู้และบริการต่างๆ ของธนาคารให้กับคนไทยที่ยังเข้าไม่ถึงบริการธนาคารหรือเข้าถึงได้ยาก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 ล้านคน
 
สำหรับ “ชาเลนเจอร์แบงก์” เป็นปรากฏการณ์ดิสรัปชั่นของวงการธนาคาร ที่มาท้าทายธนาคารหลักต่างๆ ในหลายประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเหลือธุรกิจขนาดย่อมและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือไม่มีรายได้ประจำ เวลาที่คนกลุ่มนี้ยื่นขอสินเชื่อ จะมีโอกาสได้รับการประเมินขีดความสามารถและประเมินความตั้งใจในการชำระคืนเงินกู้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ชาเลนเจอร์แบงก์ยังดึงดูดลูกค้าของธนาคารในปัจจุบัน ด้วยการกำจัดกระบวนการที่ขาดความคล่องตัว ให้บริการที่รวดเร็วกว่า ใช้งานง่ายกว่า และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ตลอดเวลา โดยภายใต้โครงการดังกล่าวนี้ ธนาคารได้จัดสรรงบประมาณ 22,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนด้านเทคโนโลยี ในช่วงปี 2565 - 2567