Phones





CIMBTหวั่นใจตัวเลขจีดีพีโตต่ำกว่า 1%

2021-07-01 17:09:32 473



 
CIMBT ปรับลดตัวเลขจีดีพีของไทยในปี 64 เหลือเติบโต 1.3% จากเดิมที่คาดจะขยายตัว 1.9% รับผลกระทบจากการระบาดรุนแรงของโควิด-19 พร้อมประเมินจีดีพีมีโอกาสโตต่ำกว่า 1%
 
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด -19 ระลอก 3 ที่มีแนวโน้มยาวนาน ประกอบกับการฉีดวัคซีนล่าช้า หรือวัคซีนยังมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ มีผลต่อเนื่องให้การระบาดของโควิด-19 ระลอกอื่นๆ กำลังจะเกิดขึ้นตามมา รวมถึงความเสี่ยงการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 และปัจจัยการฟื้นตัวของตลาดโลก จึงได้ปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปี 64 ลงมาอยู่ที่ 1.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.9% และประเมินตัวเลขจีดีพีปี 65 ขยายตัว 4.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5.1% ขณะที่การส่งออกปีนี้คาดขยายตัว15.5% และ ปี 65 ขยายตัว 10.5%
 
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดประเทศได้บางส่วนในเดือนต.ค. แต่หากกรณีเลวร้ายสุด การระบาดของโควิด-19 ลากยาวไปถึงไตรมาส 4/64 มีโอกาสจะเห็นจีดีพีขยายตัวต่ำกว่า 1% แต่คงไม่ติดลบ เพราะมีการส่งออกหนุน ตลอดจนมาตรการของรัฐซึ่งที่ออกมาสามารถพยุงได้ในระดับหนึ่ง
 
อย่างไรก็ตาม มองว่าควรใช้นโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยได้ระยะสั้น จึงต้องการให้ช่วยตรงจุด คือ ซอฟท์โลน โดยธนาคารแห่งประเทสไทย(ธปท.) ต้องให้ธนาคารพาณิชย์ลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อให้สามารถไปลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงได้
 
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงเสริมเข้ามา ได้แก่ 1. Stagnant 2. Uneven 3. Reverse 4. Effective จึงขอเรียกเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ว่า Slow But S.U.R.E. โดย S = Stagnant นิ่ง เพราะการใช้จ่ายที่ ซึม และ นิ่ง การบริโภคภาคเอกชนเติบโตช้า จากความมั่นใจที่อยู่ระดับต่ำ คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จากความระมัดระวัง การเดินทางในประเทศยังซึม เพราะขาดความมั่นใจ และการแพร่ระบาดที่สูง
 
U = Uneven ความไม่เท่าเทียม จากการฟื้นตัวในระดับที่ต่างกัน ของกลุ่มคนรายได้น้อย กลุ่ม SME กลุ่มคนประกอบอาชีพอิสระ ฟื้นตัวช้า ขณะที่มนุษย์เงินเดือน กลุ่มคนทำงานภาคอุตสาหกรรม ฟื้นตัวตามตลาดโลก ตามภาคการส่งออก ส่วนภาคการผลิต ฟื้นตัวได้มากกว่าภาคบริการ สำหรับประเทศไทยในภาพรวม ฟื้นตัวตามการส่งออก ได้มากกว่าอุปสงค์ในประเทศ
 
R = Reverse กลับด้าน การเปลี่ยนมุมมองด้านโลกาภิวัตน์ (reversed globalization) สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทวีความกดดันขึ้นอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ G7 ร่วมมือกันกดดันจีน ไม่ให้เติบโตเป็นยักษ์ใหญ่แทนที่สหรัฐ และ ขยับจากสงครามการค้ารูปแบบภาษี เป็นกดดันการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน อีกทั้ง ขีดเส้นให้ชาติอื่น ๆ ต้องเลือกข้าง
 
E = Effective ประสิทธิภาพของวัคซีน การวางแผนฉีดวัคซีนให้ถึง 100 ล้านโดส ต้องติดตามว่าวัคซีนที่ได้รับสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่ และ หากฉีดครบ 2 โดสแล้ว จำเป็นต้องฉีดโดสที่ 3 ที่ 4 หรือ โดสอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะวัคซีนยังมีผลต่อเศรษฐกิจด้วย สะท้อนความเชื่อมั่น
 
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเร็วกว่าที่คาด หากมี 4 ปัจจัยเร่ง ได้แก่ 1. Confidence 2. Agriculture 3. Return of tourists 4. Expenditure โดย C = Confidence สร้างความเชื่อมั่น หากมีการเร่งฉีดวัคซีนโดยเร็ว ควบคู่ไปกับเอกชนเข้าถึงวัคซีนทางเลือกรวดเร็ว คนจะกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง
 
A = Agriculture ฟื้นแรงงานภาคเกษตร หลังปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ คนย้ายถิ่นฐานกลับบ้าน หากเร่งการฟื้นตัวของแรงงานกลุ่มนี้ โดยเสริมการจ้างงานในชนบทให้สร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่เพื่อกักเก็บน้ำและ ป้องกันน้ำท่วมได้ จะยิ่งเป็นแรงหนุน เพราะเป็นโชคดีที่รายได้ภาคเกษตรปีนี้ถือว่าดี จากราคาที่สูงและผลผลิตมาก
 
R = Return of Tourists เตรียมแผนรับนักท่องเที่ยวปีหน้า เร่งทำ Bubble Tourism กับต่างประเทศเพื่อลดการกักตัวสำหรับผู้ได้รับวัคซีน แม้ปีนี้จะเตรียมความพร้อม และ ทดลองผ่าน Sandbox แต่ปีหน้าหลังมีวัคซีนที่ดีพร้อมจะสามารถมีรายได้การท่องเที่ยวเป็นตัวหลักฟื้นเศรษฐกิจได้
 
E = Expenditure เร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้ตรงจุด บรรเทาปัญหาแรงงานด้วยการเร่งประกันสังคมชดเชยรายได้ ดูแล SME ให้สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน มีค่าชดเชยรายได้ที่หาย หรือ เครดิตเงินคืนภาษีในปีต่อ ๆ ไป พร้อมเร่งอัดฉีด Soft Loan เสริมสภาพคล่องไม่ให้ธุรกิจต้องปิดตัว หากรัฐกังวลหนี้ชนเพดาน ก็ให้หาทางเพิ่มรายได้ เช่น ปล่อยเช่าทรัพย์สิน หรือ ใช้ตลาดทุนในการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจบางส่วน แล้วพอเศรษฐกิจฟื้นมีรายได้ค่อยมาซื้อคืน