Phones





KBANKชี้ ล็อกดาวน์ฉุดจีดีพีปี64ทรุดหนัก

2021-07-22 18:36:47 561



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - KBANK หวั่นใจล็อกดาวน์ 13 จังหวัด พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ฉุดตัวเลขจีดีพีปีนี้ทรุดหนัก ขณะที่ประเมินตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/64 ติดลบ 1.8% หวังรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ประชาชนโดยเร็ว ลุ้นเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวกลางปี 65
 
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศ จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ในพื้นที่ 13 จังหวัด ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจค่อนข้างสูงในประเทศ หรือ คิดเป็นสัดส่วน 49% ของจีดีพี มีแนวโน้มว่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3/64
 
นอกจากนี้ จากการแพร่ระบาดโควิดที่ยาวนาน และ ยังไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลกระทบต่อการบริโภคในประเทศ และ การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกลที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย จากการที่แนวโน้มการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินเข้ามาได้มากขึ้นในหลาย ๆ จังหวัด อาจจะมีแนวโน้มที่ต้องเลื่อนออกไป ทำให้ภาคการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะยังไม่กลับมาฟื้นตัว โดยภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วน 22% ของจีดีพี
 
ขณะที่ภาคครัวเรือนยังเผชิญกับผลกระทบของรายได้ที่ลดลง จากการที่กิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศต้องสะดุดไปจากมาตรการควบคุมทำให้รายได้ลดลง และ ยังมีภาระหนี้สินครัวเรือนที่มีสัดส่วนที่สูงส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อต่าง ๆ ที่ลดลงไปจากกำลังซื้อที่ลดลง แม้ว่าทางภาครัฐจะเข้ามาเยียวยาในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บ้าง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงมาตรการให้เงินสนับสนุนในโครงการต่าง ๆ แต่ยังเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น
 
“ต้องติดตามว่าการล็อกดาวน์จะนานเพียงใด โดย ปีก่อนมีการล็อกดาวน์ไป 38 วัน แต่ปีนี้ยังไม่แน่นอนว่าจะจบใน 14 วันหรือไม่ แต่ปัจจุบันเราได้ปรับลดจีดีพีปีนี้เหลือขยายตัว 1% จากเดิม 1.8% และคาดว่าจีดีพีในไตรมาส 2/64 จะติดลบราว 1.8% เมื่อเทียบจากไตรมาส 1/64” นายกอบสิทธิ์ กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม มองว่าจะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้กลางปี 65 หากสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มกลับมาดีขึ้นชัดเจน โดยรัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งจะต้องเร่งการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนให้มากที่สุดและ เร็วที่สุด จนทำให้กลับมาเปิดเมืองได้
 
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยหนุนจากภาคการส่งออกที่ยังมีการขยายตัวได้อย่างดี ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขภาคส่งออกเพิ่มเป็นขยายตัว 11.5% จากเดิมที่ขยายตัว 9% จากการที่เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่ ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป และ จีน รวมถึงการส่งออกของไทยยังได้อานิสงส์จากการที่ไทยเป็นประเทศที่มีการผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันสินค้าในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น
 
นอกจากนี้ หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดยังส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นกว่า 80,000-90,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติโควิดกดดันความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าทำให้เงินบาทอ่อนค่าแล้ว 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา หรือ มาอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และอ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย แต่เชื่อว่าเงินบาทจะกลับมาฟื้นตัว โดยคาดว่าสิ้นปี 64 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 30.50-31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ