Phones
หน้าแรก
Stock
เศรษฐกิจมหภาค
แบงก์ - Finance
อสังหาริมทรัพย์ - Marketing
ประกัน - ท่องเที่ยว
Variety
สกู้ป พิเศษ
SET
ตลท. เผยปี 67 บจ.ไทยจ่ายปันผลกว่า 5.93 แสนล.
MAI
TBN พร้อมคัมแบ็ค ตั้งธงรายได้ปี 68 โต 30-35%
IPO
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง MMM จ่อ PO 64.20 ล้านหุ้น
บล./บลจ
SCBAM เปิดโอกาสลงทุนสหรัฐ-จีน
เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง
SCB EIC ส่องจีดีพีไทยขยายตัว 2.4% ชี้ช่องรับมือทรัมป์ 2.0
การค้า - พาณิชย์
“พิชัย” เร่งเครื่องปราบสินค้าต่างชาติผิดกฎหมาย!
พลังงาน - อุตสาหกรรม
BPP แข็งแกร่งในสหรัฐฯ รับดีมานด์พุ่ง - ราคาซื้อขายไฟเพิ่ม
คมนาคม - โลจิสติกส์
“สุริยะ” เตรียม MOU สเปนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
แบงก์ - นอนแบงก์
BBL ส่ง ‘เกนเฟิสต์ เซฟวิ่งส์ เท็นเอกซ์ 15/10’ ตอบโจทย์การออมระยะยาว
ไฟแนนซ์ - ลิสซิ่ง
XSPRING ปักธงปี 68 ดันรายได้รวมโต 20%
SMEs - Startup
World นำร่องในไทย 3 แห่ง เปิดตัวเทคโนโลยีพิสูจน์ความเป็นมนุษย์
ประกันภัย - ประกันชีวิต
วิริยะประกันภัย ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดันเบี้ยฯทะลุ 4.2หมื่นลบ.
รถยนต์
นิสสัน เตรียมเปิดตัว “นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์ ใหม่”
ท่องเที่ยว
BEYOND ปี 68 ดัน รายได้โรงแรมแตะ 3,700 ล้านบ.
อสังหาริมทรัพย์
SAM งัดโปรฯเด็ด ขนทรัพย์ NPA ทำเลดี ร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด
การตลาด
บัตรบลูเครดิตการ์ด เพิ่มความคุ้มได้คะแนน 2 เท่าทั้ง Blue+ กับ K Point
CSR
World นำร่องในไทย 3 แห่ง เปิดตัวเทคโนโลยีพิสูจน์ความเป็นมนุษย์
Information
TTB สนับสนุนสินเชื่อแก่ “เควีเอส เฟรชโปรดักส์”
Gossip
HFT อัปเดตแผนธุรกิจในงาน Opp day 21 มี.ค.นี้!
Entertainment
‘ฟรีน เบ็คกี้’ เดินแบบที่ญี่ปุ่นครั้งแรก ในงาน TGC
สกุ๊ป พิเศษ
CHAYO รุกซื้อหนี้เติมพอร์ต อัพผลงานโตเกิน 20%
SCB EIC ส่องจีดีพีไทยขยายตัว 2.4% ชี้ช่องรับมือทรัมป์ 2.0
2025-03-18 19:03:47
88
sharer
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 68 ขยายตัว 2.4% รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อยู่ที่ 38.2 ล้านคน ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ 10,000 บาทเฟสที่เหลือ และการลงทุนภาครัฐที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการเร่งเบิกจ่าย
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า SCB EIC ยังคงมุมมองต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่ระดับ 2.4% โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 อยู่ที่ 38.2 ล้านคน จากปี 2567 อยู่ที่ 35.5 ล้านคน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ 10,000 บาทเฟสที่เหลือ และ การลงทุนภาครัฐที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการเร่งเบิกจ่าย อย่างไรก็ตาม ผลกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้เงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
สำหรับนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออก และการลงทุนภาคเอกชนของไทย เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะหลายปีที่ผ่านมาการส่งออกของไทยพึ่งตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมกับการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นด้วย หลังจากจีนมีแผนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กระจายไปตลาดอื่นโดยการส่งออกของไทยในปี 2568 คาดเติบโตที่ 1.6% ลดลงจากปี 2567 ที่ 5.8% ส่วนการนำเข้าในปี 2568 คาดเติบโต 3% ลดลงจากปี 2567 ที่ 6.3%
นอกจากนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกสูงขึ้น ภาคการผลิตไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับ เทรนด์ธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยเริ่มเปลี่ยนไป จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เปลี่ยนเป็นการเข้ามาแข่งขันกับตลาดในประเทศมากขึ้น ภาพการลงทุนภาคเอกชนแม้จะกลับมาขยายตัวในปีนี้จากที่หดตัวแรงในปีก่อน แต่เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าทุนตามกระแสการลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหลัก ขณะที่การลงทุนในประเทศด้านอื่นยังฟื้นตัวได้ไม่มาก
ในส่วนกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุถึง นโยบายการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารเพื่อทำให้หนี้สินคนไทยหมดนั้น มองว่าแนวทางที่ได้มีการเสนอให้ตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อรับซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินในขณะนี้อาจจะยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ เนื่องจากยังไม่รู้แนวทาง และหลักการของมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่จะแก้หนี้ได้ยั่งยืนจะต้องเพิ่มรายได้ของประชาชนด้วย และ ภาคธนาคารพยายามประคับประคองลูกหนี้ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถของลูกค้า และ กรอบสำคัญของแนวทางการรับซื้อหนี้จะต้องมองใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1. ที่มาของแหล่งเงินทุน เพราะจะเป็นภาระทางการคลัง 2. เรื่อง Moral Hazard หรือ วินัยทางการเงิน โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประเด็นดังกล่าวให้เหมาะสม
ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้ มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2568 ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย. 1 ครั้ง และ ในครึ่งปีหลังอีก 1 ครั้ง ทำให้สิ้นปี 2568 ดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2% สาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูง สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ในขณะที่การขายหุ้นกู้ของธุรกิจที่มีอันดับเครดิตไม่สูงเริ่มมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเทียบภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา และ 2. เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศเช่นนี้
สำหรับในระยะข้างหน้า SCB EIC มองว่า ไทยต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายในทั้งในระยะสั้นและยาวควบคู่กันไป พร้อมการสื่อสารสาธารณะในการผลักดันนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ทรัพยากรภาครัฐให้ตอบโจทย์การปรับตัวของประเทศ โดยเร่งดำเนินการผ่านนโยบายระยะสั้น มุ่งลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนภายนอก ปรับกรอบนโยบายมหภาคให้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และนโยบายระยะยาว มุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถภาครัฐ
ด้านมุมมองผลกระทบต่อธุรกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบาย Reciprocal Tariffs และ Specific Tariffs ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะกระทบกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ (เช่น จีน) ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง รวมถึงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ
นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงมากขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า ซึ่งคาดว่าอาจเป็นความเสี่ยงที่ซ้ำเติมให้การผลิตในบางอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาผลกระทบเชิงบวกในบางธุรกิจที่ไทยอาจเข้าไปเจาะตลาดสหรัฐฯ แทนจีน หรือ เม็กซิโกได้
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และ จากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย 1. Product : พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่างและเพิ่มมูลค่า, 2. Place : กระจายตลาด, 3. Preparedness : บริหารความเสี่ยงทุกมิติ ทั้งห่วงโซ่อุปทานและงบการเงิน และ 4. Productivity : เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ด้านดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย วิจัยเศรษฐกิจมหภาค กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวชะลอลงบ้างที่ 2.6% เทียบกับ 2.7% ในปีก่อน จากผลสงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้น ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบจากภายนอกมากขึ้น เช่น ยุโรปและจีนวางแผนขาดดุลการคลังมากขึ้น โดยเยอรมนีมีแผนขยายกฎเกณฑ์การคลังด้านหนี้ (Debt Break) เพื่อเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ พร้อมตั้งกองทุน 500,000 ล้านยูโรเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐตลอด 10 ปีข้างหน้า ด้านจีนวางแผนขาดดุลคลัง 4% ของ GDP สูงเป็นประวัติการณ์ อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นก่อหนี้มากขึ้น และ จะกู้เงิน 5 แสนล้านหยวนเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารของรัฐ
สำหรับนโยบายการเงินประเทศเศรษฐกิจหลักจะแตกต่างกันและไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้ตามที่เคยประเมินไว้ แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังสูงและ เสี่ยงเร่งขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของตัวเอง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 และ ความไม่แน่นอนของนโยบายที่สูงขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมากกว่า Fed รวม 100 BPS ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่า และ เงินเฟ้อต่ำกว่า ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้รวม 0.50% เพื่อช่วยพยุงค่าเงินเยนอ่อน และเงินเฟ้อญี่ปุ่นทรงตัวสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อได้อย่างยั่งยืนขึ้น
ขณะที่นางสาวปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า การกลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เร่งให้ความไม่แน่นอนในโลกสูงขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะมีผลกดดันเศรษฐกิจโลก และ กระทบต่อการตัดสินใจดำเนินงานของธุรกิจทั่วโลก
ทั้งนี้ หากมองไประยะข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่า สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายลักษณะคาดการณ์ยาก พร้อมจะปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับการต่อรอง ในกรณีฐานมองว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แทนนโยบาย Universal Tariffs ที่เคยหาเสียงไว้ และ ใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้า หรือ บางประเทศเพิ่มเติม (Specific Tariffs) เช่น สินค้ารถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม หรือสินค้าจากประเทศจีนและแคนาดา
โดย SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11% จากอัตราเฉลี่ยเดิมยิ่งหากประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ด้วยแล้ว คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่นี้จะกระทบเศรษฐกิจโลกรวม –1.3% และ เร่งให้เงินเฟ้อโลกเพิ่ม 0.5% ในระยะปานกลาง ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลลบทางเศรษฐกิจสุทธิน้อยกว่า แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งตัวสูงกว่าจากผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า
ตลท. เผยปี 67 บจ.ไทยจ่ายปันผลกว่า 5.93 แสนล.
SINO เปิดกลยุทธ์ปี 68 ตั้งเป้ารายได้โต 4,300 ล.
NCAP กางแผนปี 68 พอร์ตสินเชื่อโตเกิน 10%
กูรูหุ้นเชียร์ “ซื้อ” PTG ชี้พิกัดราคาสูงสุด 10.5 บ./หุ้น
SM ปักธงปี 68 รายได้ออลไทม์ไฮ โต 10-15%
TEGH ปักหมุดรายได้ปี 68 เติบโต 30% แตะ 2.2 หมื่นล.