Phones





GBS สั่งจับตาศก.สหรัฐฯ–เฟด มองดัชนีหุ้นไทย Sideway Down

2025-11-24 18:49:25 74



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - GBS ประเมินดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหว Sideway Down ในกรอบ 1,220 – 1,280 จุด จากแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งตัวเลขแรงงานล่าสุดของสหรัฐที่สะท้อนความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน และแนวโน้มดอกเบี้ย พร้อมแนะเก็งกำไรหุ้น MSCI Rebalance ปรับน้ำหนักการลงทุน
 
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยว่า ดัชนี SET Index ในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Down โดยปัจจัยสำคัญที่ยังสร้างความไม่ชัดเจน ได้แก่ ข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดแรงงานที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เฟด) ในการประชุมเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้ โดยคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,220 – 1,280 จุด 
 
สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ โดยแบ่งเป็นปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจไทย สำหรับปัจจัยบวก ยังคงเป็นการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 53,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เดือนส.ค. การจ้างงานลดลง 4,000 ตำแหน่ง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ และข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group ที่ระบุว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 73.3% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.50–3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 39.1% ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางการเงินโลก
 
ส่วนปัจจัยบวกในประเทศยังคงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หลังจากนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดฉากทัศน์ Thailand 2026 “ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยประเมินว่าแนวทาง Quick Big Win จะมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ช่วยลดความเสี่ยงจากการชะลอตัว และสร้างความเชื่อมั่นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป
 
ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.3% แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นเกินคาด และการลดความสำคัญต่อความร่วมมือพหุภาคีหลังทำเนียบขาวประกาศว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมการหารืออย่างเป็นทางการใด ๆ ในการประชุมสุดยอด กลุ่ม G20 ที่จะจัดขึ้นในแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ IMF ประเมินว่า GDP โลกปี 2568 จะขยายตัวที่ 3.2% และปี 2569 จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 3.1% ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 3.7% สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าที่คาดการณ์
 
นอกจากนี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 28 พ.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย, วันที่ 17 ธ.ค. กำหนดประชุมกนง. ครั้งที่ 6/2568 ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ยังเฝ้าติดตาม อาทิ วันที่ 24 พ.ย. สหรัฐฯ รายงานดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดสาขาดัลลัส ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนก.ย.และต.ค.จากเฟดสาขาชิคาโก, วันที่ 25 พ.ย. สหรัฐฯ ADP รายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, วันที่ 9-10 ธ.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ครั้งที่ 8/6819 พ.ย. สหรัฐฯ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
 
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนในหุ้น MSCI Rebalance ปรับน้ำหนักการลงทุน เพื่อสะท้อนโครงสร้างตลาดและสภาพคล่องของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 2568 หุ้นเข้าได้แก่ M แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ส่วนหุ้นออก ได้แก่ AAV, CKP, JTS, QH, TPIPP แนะนำ “ระวังแรงขาย” หุ้นที่ถูกปรับออก