Phones





TCAP กำไรโตต่อเนื่อง Q2/66 เพิ่ม-7ho 13%

2023-08-15 12:58:58 244



นิวส์ คอนเน็คท์ - TCAP ไตรมาส 2 ปี 66 อยู่ที่ 1,973 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน รวม 6 เดือนแรก กำไรสุทธิ 3,760 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ 3,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม และการขยายสินเชื่อผ่าน ธนชาตพลัส  

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566 นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า ตามที่เคยได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ TCAP ไปเมื่อต้นปี 66 ว่าการเติบโตของ TCAP ในปี 66 จะมาจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือ จากเงินลงทุนที่ใช้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ซึ่งเชื่อมั่นว่าบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด และจากเงินให้กู้ยืมเพิ่มเติมแก่ธนชาตพลัส เพื่อปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน 

ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรกปี 2566 เติบโตขึ้น 20% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้นตามการขยายสินเชื่อของบริษัทย่อยและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นหลัก ๆ จากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่มีการเร่งตัวขึ้นตามผลประกอบการของบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งธนาคารทหารไทยธนชาต และเอ็มบีเค

โดยในงวด 6 เดือนแรกปี 66 ราชธานีลิสซิ่ง มีการเติบโตของสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และสินเชื่อขยายตัวได้ดี แต่ได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ซึ่งบริษัทได้มีการติดตามและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดต่อไป สำหรับธนชาตประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หลักทรัพย์ธนชาตได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับลดลง ในส่วนของธนชาตพลัส เงินให้สินเชื่อเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 นี้ ยอดสินเชื่อคงค้างของธนชาตพลัส เติบโตขึ้นมาอยู่ที่กว่า 5.8 พันล้านบาท สำหรับบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารทหารไทยธนชาต ที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.6%

ในครึ่งปีหลัง TCAP จะยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เดิม โดยจะยังคงถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตามสัดส่วนที่เป็นอยู่นี้ต่อไป รวมถึงกำกับดูแลให้บริษัทในกลุ่มเติบโตตามเป้าหมายทางธุรกิจ และแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ความมั่นคง และผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตขึ้น”