Phones





SCB 10X ประกาศร่วมลงทุนรอบ Series A ใน Ema

2024-08-14 18:11:49 92



 
นิวส์ คอนเน็คท์ - SCB 10X ประกาศเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนรอบ Series A มูลค่ากว่า 36 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน Ema บริษัท Generative AI ในซานฟรานซิสโกที่มุ่งพัฒนาโซลูชันด้าน AI สำหรับองค์กรแบบครบวงจร เพื่อยกระดับการทำงานของพนักงานสู่โลกอนาคต ตอกย้ำภารกิจ “Moonshot Mission” ของ SCB 10X
 
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 นางมุขยา (ใต้) พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) บริษัท Venture Capital ของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนรอบ Series A มูลค่ากว่า 36 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน Ema บริษัท Generative AI ในซานฟรานซิสโกที่มุ่งพัฒนาโซลูชันด้าน AI สำหรับองค์กรแบบครบวงจร เพื่อยกระดับการทำงานของพนักงานสู่โลกอนาคต โดยการระดมทุนครั้งนี้ นำโดย Accel และ Section 32 ร่วมด้วย SCB 10X, Prosus Ventures, Hitachi Ventures, Sozo Ventures, Wipro Ventures, Colle Capital และ Frontier Ventures ส่งผลให้ยอดรวมเงินทุนที่ Ema ระดมทุนได้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
“เราขอแสดงความยินดีกับทีม Ema สำหรับการระดมทุนที่ประสบความสำเร็จครั้งนี้ การใช้ Generative AI อย่างสร้างสรรค์ของ Ema เพื่อช่วยขับเคลื่อนการทำงานขององค์กรให้เป็นอัตโนมัติและอิสระนั้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนของเราใน Deep Tech ด้วยแพลตฟอร์มซึ่งผสมผสาน Generative Workflow Engine™, Knowledge Graph และ EmaFusion™ Model ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Ema สามารถจัดการกับความท้าทายที่สำคัญสำหรับการนำ AI ไปปรับใช้ในองค์กร ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดระดับสูงสุด สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากการใช้ AI เป็น 75% ภายในปี 2571 เราเชื่อว่าลงทุนในครั้งนี้จะให้ความรู้เชิงลึกที่มีประโยชน์ สร้างคุณค่าเพิ่มในการนำโซลูชัน AI มาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และเป็นไปตามข้อกำหนด เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของ Ema ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในอนาคตร่วมกับ Universal AI Employee พร้อมตั้งตารอนวัตกรรมใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” นางมุขยา กล่าว
 
สำหรับระบบ Agentic AI ที่ล้ำสมัยของ Ema ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้ AI Agent หรือที่เรียกว่า Persona ของ Ema เพื่อดำเนินงานที่ซับซ้อนและหลากหลายตั้งแต่ต้นจนจบ และสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มของ Ema โดดเด่นคือผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความสามารถในการเขียนโค้ด ทำให้ผู้ใช้งานทุกหน่วยงานในองค์กรสามารถสร้างและปรับแต่ง AI เพื่อใช้ในการยกระดับการทำงานของพนักงานได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ระบุคำสั่งใช้ด้วยภาษาธรรมชาติ (Natural Language Interface) ซึ่ง Ema จะช่วยลดความซับซ้อนให้กับผู้ใช้งาน และลดอุปสรรคสำหรับธุรกิจที่ต้องการนำโซลูชัน AI ขั้นสูงมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายสำหรับพนักงาน
 
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวแพลตฟอร์มของ Ema ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพให้กับองค์กรทั่วโลกจำนวนมาก โดยนำเสนอการบูรณาการที่ราบรื่น การปกป้องข้อมูล และความแม่นยำ ด้วยโครงสร้างแบบ Multi-agent architecture ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางบริษัท Ema สามารถเอาชนะข้อจำกัดที่มีอยู่ในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) แบบดั้งเดิม เช่น ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น และการขาดข้อมูลเชิงลึกเฉพาะทางที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจ ทำให้ Ema สามารถนำเสนอฟังก์ชันการทำงานที่ทลายข้อจำกัดการทำงานของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) แบบเดิมได้ เช่น ปรับการใช้งานให้เข้ากับข้อมูลและกระบวนการทำงานเฉพาะขององค์กร, ใช้ประโยชน์จาก LLMs หลายความสามารถตามโจทย์ขององค์กร ที่คำนึงถึงความแม่นยำ ต้นทุน และประสิทธิภาพ, รักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลโดยการดำเนินงานภายในระบบโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท, แสดงผลลัพธ์ที่สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ซึ่งมีความสำคัญต่อความรับผิดชอบทางธุรกิจ, อัปเดตและเรียนรู้จากข้อมูลองค์กรแบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง และดำเนินงานที่ซับซ้อนและหลายขั้นตอนได้อย่างอิสระด้วยตนเอง
 
ด้านMr.Surojit Chatterjee CEO และผู้ร่วมก่อตั้งของ Ema กล่าวว่า เป้าหมายของเรา คือ การผลักดันศักยภาพขององค์กรด้วยการทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่าน Agentic AI ที่ใช้งานง่ายและแม่นยำ Universal AI Employee ของเราจะช่วยเหลือธุรกิจในการดำเนินงานในด้านต่างๆ เช่น การสนับสนุนลูกค้า การช่วยเหลือพนักงาน การส่งเสริมการขาย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ การดำเนินการด้านรายได้ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะช่วยให้ทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยให้พนักงานสามารถลงทุนเวลากับงานเชิงกลยุทธ์และงานที่มีความสำคัญมากที่สุด